เป็นไม้มงคลมที่ถือว่าตามความเชื่อว่า สมัยโบราณบอนสีเป็นไม้มงคลที่นิยมปลูกติดไว้ในบ้านพักอาศัยและจะทำให้บ้านที่ปลูกมีความสุขความเจริญเป็นสิริมงคลแก่บ้านพักอาศัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ทรงเสด็จนิวัตพระนครหลังเสด็จประภาสยุโรป ราวปี พ.ศ. 2444 ทรงนำพันธุ์ไม้หลายชนิดจากยุโรปเข้ามาปลูกในประเทศไทย ในจำนวนพันธุ์ไม้เหล่านี้มีบอนฝรั่งหรือบอนสีรวมอยู่ด้วย
ที่มา:http://www.thaikasetsart.com
บอนสี
Common name : Caladium
Scientific name : Caladium bicolor Vent
Family : A raceae
บอนสีในประเทศไทย นิยมเลี้ยงกันเป็นครั้งแรกในปลายรัชกาลที่ 5 หลังจากพระบาทสมเด็จพระปิยมหาราชเสด็จนิวัติพระนคร ได้ทรงรวบรวมพันธุ์ไม้นานาชนิดของต่างประเทศเข้ามาในประเทศไทย ซึ่งรวมทั้งบอนสีด้วย ในครั้งนั้นเรียกกันว่า “บอนฝรั่ง” บอนสีมีสีสันมากมายสวยสดและแปลกตา จึงมีผู้นิยมปลูกด้วยความตื่นเต้น สมัยนั้นเลี้ยงยาก ถึงฤดูแล้วก็ทรุดโทรมแห้งตาย แต่หัวยังอยู่ทำให้มีราคาสูง แต่ปัจจุบันมีความก้าวหน้าทางวิทยาการและเทคนิคในการปลูกมากขึ้น จึงสามารถเลี้ยงได้เจริญเติบโตดี ต้นใหญ่ กอใหญ่ มีใบมาก มีความสมบูรณ์ และมีสีสันสวยสดอยู่ได้ตลอดปี
นอกจากนี้ ยังมีการผสมพันธุ์จนได้ลูกผสมที่มีลักษณะต่างๆ กันออกไป รวมทั้งสี ก็มีความวิจิตรพิสดารมากขึ้น ทำให้เป็นที่นิยมเลี้ยงกันอย่างกว้างขวาง และทำให้ราคาบอนสูงขึ้นอีกด้วย
กล่าวกันว่า บอนสีนี้มาจากอินเดีย หรือ อินเดียตะวันตก เป็นพืชหัวที่มีแหล่งกำเนิดในเขตร้อนในอเมริกาใต้ ส่วนใหญ่จากบราซิล มีใบเป็นแบบลูกศรขนาดใหญ่ ลำต้นสูง 6-18 นิ้ว มีสีแตกต่างกันออกไป ตั้งแต่เขียวจนถึงครีม บ้างก็มีสีแดงแต้ม บ้างก็มีสีแดงสดใส พวกนี้เจริญได้ดีในที่อบอุ่น ในเรือนเพาะชำที่มีความชื้นพอเหมาะและมีแสงแดดเพียงพอ หรือปลูกกลางแจ้งก็ได้ แต่ต้องให้ความชื้นสูง
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
1. ราก รากของบอนเป็นพวกรากฝอย จะออกจากหัวด้านบนตรงระหว่างรอยต่อของหัว (tuber) กับลำต้น (stem)
2. หัว บอนสีมีหัวเป็นทิวเบอร์เหมือนหัวมันฝรั่งหรือไรโซม จัดเป็นพวกไม้เนื้ออ่อน บนหัวจะมีตา หรือบางทีเรียกว่า “เขี้ยว” (sprout) ซึ่งจะแตกปลีเป็นลำต้นใหม่ต่อไปได้ นอกจากนี้หัวบอนก็ยังสามารถแตกหน่อได้ด้วย เพื่อใช้ในการขยายพันธุ์
3. ลำต้น ลำต้นของบอนอยู่ตรงบริเวณเหนือ หัว (tuber) ขึ้นไปเป็นส่วนระหว่างทิวเบอร์กับกาบใบซึ่งสั้นมาก กาบใบที่แก่และร่วงหลุด จะช่วยให้ลำต้นสูงขึ้น
4. ใบ ใบของบอนสีมีรูปร่างหลายแบบ เช่น รูปหัวใจ รูปคล้ายธนู เช่นพันธุ์ดาบฟ้าฟื้น รูปแบบสามเหลี่ยมหน้าจั่ว หรือสามเหลี่ยมรูปไข่ เช่นพันธุ์อิเหนา และรูปเรือ เป็นต้น
ลักษณะใบโดยทั่วไป บอบบาง มีก้านใบยาว อาจมีสีเดียวกันล้วนหรือมีเส้นตามความยาวหรือมีสีประหลาย ๆ สีปนกัน ใบมีสีสวย เช่น ชมพู เขียวอ่อน เขียวขาว นอกจากนี้ยังมีจุดประบนใบและเส้นใบมีสีต่าง ๆ กัน เช่น แดง ม่วง ขาว เหลือง และเขียว บางชนิดมีสีขาวทั้งใบ และเส้นใบสีเขียว แต่ส่วนใหญ่มักจะมี ใบสีแดง หรือชมพูมากกว่าฐานของใบมักมีรูปร่างแบบหัวใจ และมีสีแตกต่างกันตามลักษณะพันธุ์
เส้นกลางใบ จะเห็นเด่นชัดมาก และมีเส้นใบแตกออกมาจากเส้นกลางใบแบบทะแยงขอบ ใบเรียบ ขนาดของใบส่วนมากมีความยาว 6-24 นิ้ว
ศัพท์ที่ใช้เรียกส่วนต่าง ๆ ของใบ มีดังนี้
-แผ่นใบ (leaf blade) เรียก ใบ
-ก้านใบ (petiole) เรียก สาแหรกหรือทาง
-เส้นก้านใบ เรียก สะพานหน้า
-จุดที่เส้นใบจรดกัน เรียก สะดือ
-ปลายสุดของก้านใบ เรียก สะดือใน
-เส้นกลางใบ (midrib) เรียก กระดูก
– เส้นใบเล็ก (vein) เรียก เส้น
-จุดด่างที่เกิดบนใบ เรียก เม็ด
-จุดด่างที่เกิดบนภายใน เรียก เสี้ยน

http://www.thaikasetsart.com

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้