ต้นไม้มงคลปลูกในกระถาง ปลูกประดับสวนหรือปลูกไว้ในบ้านก็ได้ เสริมโชคลาภให้เป็นสิริมงคลกับคนในบ้าน ลองนำต้นไม้มงคลปลูกในกระถางไปปลูกกันดูนะคะเช่น ต้นหมากผู้หมากเมียต้นนี้คนส่วนใหญ่มักนิยมปลูกกันเยอะ

ต้นไม้มงคลปลูกในกระถาง

ต้นไม้มงคลปลูกในกระถาง ปลูกประดับสวนหรือปลูกไว้ในบ้านก็ได้ เสริมโชคลาภให้เป็นสิริมงคลกับคนในบ้าน ลองนำต้นไม้มงคลปลูกในกระถางไปปลูกกันดูนะคะเช่น ต้นหมากผู้หมากเมียต้นนี้คนส่วนใหญ่มักนิยมปลูกกันเยอะ
1.หมากผู้หมากเมีย
  1. หมากผู้หมากเมีย ชื่อสามัญ Cordyline[3], Ti plant[5], Dracaena Palm
  2. หมากผู้หมากเมีย ชื่อวิทยาศาสตร์ Cordyline fruticosa (L.) A.Chev. จัดอยู่ในวงศ์หน่อไม้ฝรั่ง (ASPARAGACEAE) และอยู่ในวงศ์ย่อย LOMANDROIDEAE

    ต้นไม้มงคลลำต้นกลม ออกใบเรียวยาวมีเฉดสีแตกต่างกันออกไป และยังมีมากมายหลายสายพันธุ์อีกต่างหาก แต่สายพันธุ์มงคลที่นิยมปลูกก็คือ เพชรไพฑูรย์ ที่เชื่อว่าจะนำความโชคดีมาให้ หากมีลำต้นขึ้นคู่กัน 2 ลำต้น ความโชคดีก็จะทวีคูณเป็นเท่าตัว และจะประสบความสำเร็จในเรื่องของความรักอีกด้วย ขยายพันธุ์มาปลูกโดยการการปักชำ เริ่มจากนำดินร่วนมาผสมกับอินทรียวัตถุใส่ในกระถาง นำกิ่งพันธุ์ที่ตอนแล้วมาปัก คลุมด้วยเศษใบไม้ที่โคนต้น ดูแลรดน้ำวันละ 1 ครั้ง หรือสังเกตให้ดินชุ่มอยู่ตลอดเวลาและตั้งกระถางให้โดนแดดรำไร

สมุนไพรหมากผู้หมากเมีย มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า ปูหมาก (เชียงใหม่), หมากผู้ (ภาคเหนือ), มะผู้มะเมีย (ภาคกลาง), ทิฉิ่ว ทิฉิ่วเฮียะ (จีนแต้จิ๋ว), เที่ยซู่ (จีนกลาง) เป็นต้น[1],[2]
หมากผู้หมากเมียมีอยู่ด้วยกันหลายชนิด เนื่องจากมีการผสมพันธุ์จนได้ชนิดใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนยากที่จะทรายว่าต้นใดเป็นต้นพ่อต้นแม่ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นพันธุ์ลูกผสมของ C.terminalis เช่น พันธุ์เพชรชมพู เพชรสายรุ้ง เพชรพนมรุ้ง เพชรประกายรุ้ง เพชรเจ็ดสี เพชรดารา เพชรน้ำหนึ่ง เพรชไพลิน เพชรไพลินกลาย เพชรตาแมว เพชรอินทรา เพชรเขื่อนขันธุ์ เพชรไพฑูรย์ เพียงเพชร พุ่มเพชร เปลวสุริยา รัศมีเพชร รุ้งเพชร ชมพูศรี ชมพูพาน สไบทอง ไก่เยาวลักษณ์ พันธุ์แคระ เป็นต้น
สรรพคุณของหมากผู้หมากเมีย
  1. รากมีสรรพคุณเป็นยาฟอกเลือด ด้วยการใช้รากสดครั้งละ 30-60 กรัม ถ้ารากแห้งให้ใช้เพียงครั้งละ 15-20 กรัม นำมาต้มกับน้ำรับประทาน (ราก)[2]
  2. ใช้เป็นยาแก้พิษกาฬ (พิษที่เกิดจากการติดเชื้อ) หรือนำมาต้มหรือแช่น้ำอาบแก้ไข้หัว (ไข้ร่วมกับผื่นหรือตุ่ม เช่น หัด เหือด อีสุกอีใส) (ใบ)[4]
  3. ใบมีสรรพคุณเป็นยาแก้ไข้หวัด ไข้หวัดน้อย ไข้หวัดใหญ่ ไข้กำเดา ไข้พิษ ไข้กาฬ ไข้หัวต่าง ๆ แก้ตัวร้อน แก้ร้อนในกระหายน้ำ (ใบ)[3],[6]
  4. ใบสดใช้ประมาณ 15-30 กรัม นำมาต้มเอาน้ำกินเป็นยาแก้ไอ ไอเป็นเลือด หรือจะใช้ดอกแห้งประมาณ 15-30 กรัม นำมาต้มเอาน้ำกินเป็นยาแก้อาการไอเป็นเลือดก็ได้ ส่วนอีกข้อมูลระบุว่าให้ใช้ใบสดประมาณ 60-100 กรัม หรือรากสดประมาณ 30-60 กรัม นำมาต้มกับน้ำรับประทาน (ใบ,ดอก,ราก)[1],[2]
  5. ช่วยแก้โลหิตกำเดา ด้วยการใช้ใบสดประมาณ 30-60 กรัม ถ้าแห้งใช้ 15-20 กรัม นำมาต้มกับน้ำกิน (ใบ)[2]
  1. ดอกใช้เป็นยาแก้วัณโรคปอด ด้วยการใช้ดอกแห้งประมาณ 15-30 ใบ นำมาต้มเอาน้ำกิน ส่วนอีกข้อมูลระบุว่าให้ใช้ใบสด 60-100 กรัม หรือใช้รากสด 30-60 กรัม นำมาต้มกับน้ำรับประทาน (ใบ,ดอก,ราก)[1],[2]
  2. รากมีสรรพคุณเป็นยาแก้บิด แก้ท้องเสีย แก้ลำไส้อักเสบ ด้วยการใช้รากแห้งประมาณ 3-5 กรัม นำมาต้มเอาน้ำกิน (ราก)[1],[2]
  3. ใบใช้เป็นยาแก้อาการเจ็บกระเพาะอาหารหรือปวดกระเพาะ แก้บิด ถ่ายเป็นมูกเบือด ด้วยการใช้ใบสดประมาณ 15-30 กรัม นำมาต้มเอาน้ำกิน (ใบ)[1],[2] ส่วนตำรายาแก้บิดถ่ายเป็นมูกอีกตำรับ ระบุให้ใช้ใบสด 30-40 กรัม เปลือกลูกทับทิมแห้ง 10 กรัม ผักเบี้ยใหญ่สด 30 กรัม และดอกสายน้ำผึ้ง 15 กรัม นำมาต้มกับน้ำรับประทาน (ใบ)]
  4. ใช้แก้ประจำเดือนมาไม่เป็นปกติ ด้วยการใช้รากแห้งประมาณ 3-5 กรัม นำมาต้มเอาน้ำกิน ส่วนอีกข้อมูลระบุว่าให้ใช้ใบสด 60-100 กรัม ถ้าเป็นรากสดให้ใช้ 30-60 กรัม นำมาต้มกับน้ำรับประทาน (ราก)[1],[2]
  5. ใช้แก้ประจำเดือนมามากเกินควร ด้วยการใช้ดอกสดครั้งละ 30-60 กรัม ส่วนดอกแห้งใช้เพียงครั้งละ 10-15 กรัม นำมาต้มกับน้ำดื่ม (ดอก)[2]
  6. ใช้เป็นยาแก้ปัสสาวะเป็นเลือด ด้วยการใช้ใบสดประมาณ 15-30 กรัม นำมาต้มเอาน้ำกิน หรือจะใช้ดอกแห้งประมาณ 15-30 กรัม นำมาต้มเอาน้ำกินก็ได้ ส่วนอีกตำรับระบุให้ใช้ใบสด 60-100 กรัม หรือรากสด 30-60 กรัม นำมาต้มกับน้ำรับประทาน (ใบ,ดอก,ราก)[1],[2]
  7. ใช้เป็นยาแก้ถ่ายเป็นเลือด ด้วยการใช้ใบสดประมาณ 30-40 กรัม นำมาต้มกับเนื้อหมูรับประทาน (ใบ)[2]
  8. ใช้เป็นยาแก้ริดสีดวงทวาร ด้วยการใช้ดอกแห้งประมาณ 15-30 กรัม นำมาต้มเอาน้ำกิน (ดอก)[1],[2]
  9. ใบมีรสจืดมันเย็น มีสรรพคุณช่วยล้อมตับดับพิษ ใช้เป็นยาขับพิษ (ใบ)
  10. ใบสดนำมาตำให้ละเอียดใช้เป็นยาพอกหรือทาบริเวณที่เป็นบาดแผล
  11. ใบและดอกสดนำมาตำให้ละเอียดใช้เป็นยาพอกห้ามเลือด (ใบ,ดอก)
  12. ใบนำมาต้มกับน้ำอาบช่วยแก้อาการคันตามผิวหนังหรือเม็ดผดผื่นคันตามผิวหนัง หรือจะใช้ใบร่วมกับใบหมากและใบมะยมก็ได้ (ใบ)
  13. ช่วยแก้อาการปวดบวมอักเสบ ด้วยการใช้ดอกสดนำมาตำพอกบริเวณที่เป็น ส่วนรากก็มีสรรพคุณแก้ปวดบวมอักเสบได้เช่นเดียวกับดอก (ดอก)
  14. ช่วยแก้ฟกช้ำดำเขียว (ราก)

ข้อห้ามในการใช้สมุนไพรหมากผู้หมากเมีย

  • สตรีมีครรภ์ ห้ามรับประทานสมุนไพรชนิดนี้
  • ยาชนิดนี้มีพิษ ห้ามใช้ในปริมาณที่มากเกินไป

ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของหมากผู้หมากเมีย

  • ในใบพบสารจำพวก Phenols, Amino acid และน้ำตาล ส่วนผลพบสาร Cycasin, Neocycasin และแป้ง เป็นต้น

ประโยชน์ของหมากผู้หมากเมีย

  1. ช่อดอกนำมาลวกกับน้ำพริกกินหรือนำไปแกงได้ (กะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอน)[5]
  2. ใบนำมาสับแล้วตากให้แห้งใช้เข้ายาห่มตำรับไทลื้อ ช่วยบำรุงร่างกายและผิวพรรณ (ไทลื้อ)[5]
  3. ชาวไทใหญ่จะนำดอกมาใช้บูชาพระ ส่วนชาวกะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอนจะนำใบมาใช้บูชาพระ[5]
  4. การใช้งานด้านภูมิทัศน์ หมากผู้หมากเมียเป็นไม้ใบที่มีสีสันสวยงาม สามารถนำมาใช้ปลูกเป็นไม้ประดับลงกระถางเพื่อประดับภายในอาคาร หรือจะปลูกไว้ในสวนที่มีแสงปานกลางถึงรำไรเพื่อเป็นจุดเด่นให้กับสวนหย่อม ริมน้ำตก ลำธาร หรือริมทะเลได้[3]
  5. ในด้านของความเชื่อ คนไทยโบราณเชื่อว่าหากบ้านใดปลูกต้นหมากผู้หมากเมียไว้เป็นไม้ประจำบ้านจะทำให้มีความอยู่เย็นเป็นสุข เพราะหมากผู้หมากเมียเป็นของคู่กันเหมือนคู่สุขคู่สมคู่บ้านคู่เมืองของคนไทย นอกจากนี้ยังใช้ใบเพื่อนำไปใช้ประกอบในงานพิธีมงคลสำคัญอีกหลายงาน เช่น งานแต่งงาน งานขึ้นบ้านใหม่ หรือใช้เป็นเครื่องบูชาพระ เป็นต้น และเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่บ้านและผู้อยู่อาศัย ควรปลูกต้นหมากผู้หมากเมียไว้ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของบ้าน และผู้ปลูกควรปลูกในวันอังคาร เพราะคนโบราณเชื่อว่าการปลูกไม้เพื่อเอาคุณทั่วไปทางใบให้ปลูกกันในวันอังคาร





ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้